ข่าวทั่วไปความรู้ทั่วไปสุขภาพ

5 ข้อควรรู้ก่อนทาน “ทุเรียน” ทานไม่ระวังเสี่ยงเสียชีวิต

5 ข้อควรรู้ก่อนทาน “ทุเรียน” ทานไม่ระวังเสี่ยงเสียชีวิต

อากาศร้อนสลับฝน ในเดือนพฤษภาคม มิถุนายน อย่างนี้ก็ถึงเวลาที่ทุเรียนหลากหลายสายพันธุ์จะออกสู่ท้องตลาด ซึ่งในปีนี้เห็นว่าราคาค่อนข้างแพง แต่สาวกของ “ราชาผลไม้” ก็ไม่หวั่น แม้จะกินไป บ่นไป

 

 

 

 

แต่สิ่งที่ดีของอากาศร้อนคือ ผลไม้หน้าร้อนผลิดอกออกผลให้เราเลือกทานมากมาย โดยเฉพาะ “ทุเรียน”

แต่ทราบหรือไม่คะว่า ทุเรียน ถึงจะอร่อยดีมีประโยชน์ แต่หากไม่ถูกวิธีก็เป็นอันตรายต่อชีวิตได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก่อานทานทุเรียน เรามาอ่าน “5 ข้อควรรู้ก่อนทานทุเรียน” กันก่อนดีกว่าค่ะ

1. ทุเรียน เป็นผลไม้ที่แคลอรี่สูง เพราะทุเรียน 4-6 เม็ด ให้ปริมาณแคลอรี่ถึง 400 กิโลแคลอรี่ เทียบเท่าน้ำอัดลม 2 กระป๋อง หรือข้าว 1 จานเต็มๆ เพราะฉะนั้นทานเพลินระวังน้ำหนักขึ้นนะเออ

2. ทุเรียน มีปริมาณน้ำตาลสูงมากอีกเช่นกัน ดังนั้นผู้ป่วยโรคเบาหวานเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยง (อ่าน “หยุดแชร์! ทุเรียน ลดเบาหวาน เสี่ยงน้ำตาลในเลือดสูง” ที่นี่)

3. นอกจากผู้ป่วยโรคเบาหวานแล้ว ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูง หัวใจ เส้นเลือด และไขมันในเลือด ควรทานทุเรียนให้น้อยที่สุด

4. ทุเรียน เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อน ทานเพียวๆ ก็มีฤทธิ์ร้อนอยู่แล้ว หากทานพร้อมกับแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเหล้า เบียร์ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใดๆ ก็ตาม จะยิ่งทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายมากขึ้น ร่างกายจะเกิดความร้อนสูง จนถึงขั้นเสียชีวิตได้

5. ในเมื่อทุเรียนให้พลังงานสูง ดังนั้นมื้อใด หรือวันไหนที่ทานทุเรียน ควรหลีกเลี่ยงอาหารอื่นๆ ที่ให้พลังงานสูงด้วยเช่นกัน เช่น อาหารประเภททอด อาหารที่ปรุงด้วยกะทิ อาหารหวานมันอื่นๆ หรือลองลดปริมาณอาหารลงส่วนหนึ่งในมื้อถัดไป ถ้าเป็นไปได้ควรออกกำลังกายเพิ่มด้วย เพื่อเผาผลาญพลังงานที่ได้รับเพิ่มเข้าไป

เราไม่ได้ห้ามว่า ห้ามทานทุเรียน แต่ก่อนทานทุเรียนจะต้องมีสติให้มากๆ รู้ตัวว่าทานไปมากเท่าไรแล้ว ห้ามปากห้ามใจตัวเองได้ พร้อมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากทำได้ตามนี้ รับรองว่าทานทุเรียนได้อิ่มอร่อย ปลอดภัยต่อร่างกาย ไม่มีเรื่องต้องกังวลใจแน่นอนค่ะ

 

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ผลไม้ คาว หวาน ถ้าจะรับประทานให้ได้ประโยชน์ กรมอนามัยแนะ นำให้รับประทานตามธงโภชนาการ “ผัก” 2 ทัพพี ถ้าเป็นผักสดจะต้องรับประทานเพิ่มเป็น 2 เท่า ส่วนผลไม้ควรรับประทาน 3-5 ส่วนต่อวัน สิ่งสำคัญคือควรรับประทานให้หลากหลาย เน้นที่มีรสชาติไม่หวาน และไม่จิ้มน้ำตาลเพิ่ม

 

ขอขอบคุณ
ข้อมูล : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข , สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

ใส่ความเห็น